Japan Journal of my Journey....Day 0

เครื่องออก 23.55.............. เหลืออีก 3 ชม. รีบมาทำไมหล่ะเนี้ย (- -"
หิวน้ำมาก น้ำในสนามบินเมืองไทย แพงจนกระเดือกไม่ค่อยจะลง รอเข้า gate E2  แล้วไปกินน้ำก๊อกหน้า terminal เย็นชื่นใจกว่ากันเยอะ ที่สำคัญไม่เสียเงินด้วย

อาการง่วงนอน เพราะกินยาแก้แพ้ + ยาลดน้ำมูกเข้าไป กลายเป็นง่วงยกกำลังสอง กำลังเข้าเล่นงานโสตประสาทอย่างแข็งขัน

แม่โทรเข้าหา 2 ครั้ง ครั้งแรกโทรไป คุยกันไม่รุ้เรื่อง เพราะท่านติดละครอยู่ ไม่มีสมาธิจะคุยกับลูกชาย Y Y รอละครจบเลยโทรมาอีกรอบ ประมาณว่าเป็นห่วง เดินทางกี่ชั่วโมง ก่อนเข้า Gate มาผ่านการ Check in เข้ามาด้วยน้ำหนักกระเป๋ารวมสุทธิ 40  กิโลกรัม!!!!! แม่จ้าว ยังไม่ทันเดินทาง กระเป๋าก็หนักเท่ากับค่าสูงสุดที่สายการบินจะยอมรับได้ นี่ต้องคิดแผนเอาเสื้อผ้าไปทิ้งที่นั่่น เหมือนรอบที่แล้วแน่ๆ มาคราวนี้ ได้ไปสายการบิน ANA สมใจอยาก หลังจากที่คราวก่อนละเหี่ยใจกับการบินไทย....

เพิ่งสังเกตว่ามาสนามบินบ่อยครั้ง มันจะเปิดแต่ช่อง Animal planet อย่างเดียวเลย  มีนัยอะไรหรือเปล่าเนี้ย...... อ้าวแอร์สาวเรียกขึ้นเครื่องแล้ว รอบนี้ โชว์นั่งเดี่ยวทั้งไป และกลับ ด้วยความเซ่อซ่าที่จองตัวเป็นชาติแต่ดันไม่ยอม booking ที่นั่ง... เจอกันที่ นาริตะ ครับผม..​ :D



Christmas eve - ต้นกำเนิด

24 ธันวาคม ในสากลโลกแล้วคือ Christmas eve เป็นวันที่เด็กๆจะเอาถุงเท้าไปแขวนหน้าเตาผิง เพราะเป็นวันที่ Santa Claus จะปีนลงมาตามปล่องไฟและเอาของขวัญใส่ไว้ในถุงเท้าที่มีชื่อของแต่ละคนติดไว้
ต้นกำเนิดความคิดนี้ มาจากตำนานของนักบุญนิโคลัส  กล่าวไว้ว่าท่านรู้จักหญิงสาว 3 คน อาศัยอยู่นอกเมืองในชนบท ยากจนมากจนคิดจะขายตัว  พอนักบุญนิโคลัสทราบข่าว จึึงคิดช่วยเหลือ ก่อนวันคริสต์มาสท่านเดินทางไปที่บ้าน และแอบหย่อนเหรียญทองสามเหหรียญลงไปในรูที่มีไว้ระบายควันจากเตาไฟ
เหรียญทั้งสามไม่ได้ตกลงไปหน้าเตาไฟ แต่กลิ้งเข้าไปในถุงเท้าที่พวกเธอแขวนตากไว้ที่หน้าเตาไฟ  ทั้งสามต่างดีใจเมื่อพบเหรียญทอง ซึ่งทำให้เธอไม่ต้องไปเป็นโสเภณี นั่นคือที่มานั่นเองของการแขวนถุงเท้าหน้าเตาผิง....




Kanchanaburi Trip~ When the Nature's closer.

ถ้าไม่นับภาคเหนือแล้ว ด้านตะวันตกของไทยนั้น มีแนวเทือกเขาและป่าไม้ ที่หนาแน่นไม่แพ้กัน  เพียง 2-3 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ โดยเลือกเอาระหว่างสวนผึ้งไปดูแกะ หรือกาญจนบุรี ไปดูเขื่อน ดูทิวเขา สำหรับคนเมืองกรุงอย่างผมแล้ว แบบไหนก็ได้ (แต่อย่าไปพร้อมกัน ขับกันเมื่อยก้นแน่ๆ)

แม่น้ำแคว สัญญลักษณ์ที่โดดเด่นของเมืองกาญจน์ ฝรั่งไม่ว่าจะมาจากที่ไหน ก็แวะชมการแสดงแสงสีเสียง รวมถึงร่วมย้อนอดีตไปยังสมัยสงครามโลกครั้งสอง บางที เมืองนี้ อาจมีอะไรมากกว่าประวัติศาสตร์ อาจต้องแวะไปเยี่ยมชมอีกสักครั้ง ในฤดูหนาว


บริเวณน้ำตก ที่ใสจนอยากจะแช่ให้จนเท้าเปื่อย

ปลาน้อยใหญ่ที่คอยตอด คอยเล่นกับผู้มาเล่นน้ำ

เบื่อที่ถ่ายรูปในกรุงเทพฯ ก็ย้ายพรอพไปแถวกาญฯก็ไม่เลว
แดดร้อนไปหน่อย แต่ก็มีลมเอื่อยๆมาตลอด

เป็นอีกจังหวัดที่มีผีเสื้อมากกกกกก

คงต้องหาเวลาไปนั่งดูผีเสื้ออีกสักรอบ

ถ้ามีโอกาสได้ไป ลองไปนั่งรถไฟสายประวัติศาสตร์ดูนะครับ พอดีผมไปเช้าเย็นกลับ
อาหารพวกแกงเผ็ด อร่อยมาก หลายๆร้านเลย ลองเลือกกันดูนะครับ : )