Japan Journal of my Journey....Day 0

เครื่องออก 23.55.............. เหลืออีก 3 ชม. รีบมาทำไมหล่ะเนี้ย (- -"
หิวน้ำมาก น้ำในสนามบินเมืองไทย แพงจนกระเดือกไม่ค่อยจะลง รอเข้า gate E2  แล้วไปกินน้ำก๊อกหน้า terminal เย็นชื่นใจกว่ากันเยอะ ที่สำคัญไม่เสียเงินด้วย

อาการง่วงนอน เพราะกินยาแก้แพ้ + ยาลดน้ำมูกเข้าไป กลายเป็นง่วงยกกำลังสอง กำลังเข้าเล่นงานโสตประสาทอย่างแข็งขัน

แม่โทรเข้าหา 2 ครั้ง ครั้งแรกโทรไป คุยกันไม่รุ้เรื่อง เพราะท่านติดละครอยู่ ไม่มีสมาธิจะคุยกับลูกชาย Y Y รอละครจบเลยโทรมาอีกรอบ ประมาณว่าเป็นห่วง เดินทางกี่ชั่วโมง ก่อนเข้า Gate มาผ่านการ Check in เข้ามาด้วยน้ำหนักกระเป๋ารวมสุทธิ 40  กิโลกรัม!!!!! แม่จ้าว ยังไม่ทันเดินทาง กระเป๋าก็หนักเท่ากับค่าสูงสุดที่สายการบินจะยอมรับได้ นี่ต้องคิดแผนเอาเสื้อผ้าไปทิ้งที่นั่่น เหมือนรอบที่แล้วแน่ๆ มาคราวนี้ ได้ไปสายการบิน ANA สมใจอยาก หลังจากที่คราวก่อนละเหี่ยใจกับการบินไทย....

เพิ่งสังเกตว่ามาสนามบินบ่อยครั้ง มันจะเปิดแต่ช่อง Animal planet อย่างเดียวเลย  มีนัยอะไรหรือเปล่าเนี้ย...... อ้าวแอร์สาวเรียกขึ้นเครื่องแล้ว รอบนี้ โชว์นั่งเดี่ยวทั้งไป และกลับ ด้วยความเซ่อซ่าที่จองตัวเป็นชาติแต่ดันไม่ยอม booking ที่นั่ง... เจอกันที่ นาริตะ ครับผม..​ :D



Christmas eve - ต้นกำเนิด

24 ธันวาคม ในสากลโลกแล้วคือ Christmas eve เป็นวันที่เด็กๆจะเอาถุงเท้าไปแขวนหน้าเตาผิง เพราะเป็นวันที่ Santa Claus จะปีนลงมาตามปล่องไฟและเอาของขวัญใส่ไว้ในถุงเท้าที่มีชื่อของแต่ละคนติดไว้
ต้นกำเนิดความคิดนี้ มาจากตำนานของนักบุญนิโคลัส  กล่าวไว้ว่าท่านรู้จักหญิงสาว 3 คน อาศัยอยู่นอกเมืองในชนบท ยากจนมากจนคิดจะขายตัว  พอนักบุญนิโคลัสทราบข่าว จึึงคิดช่วยเหลือ ก่อนวันคริสต์มาสท่านเดินทางไปที่บ้าน และแอบหย่อนเหรียญทองสามเหหรียญลงไปในรูที่มีไว้ระบายควันจากเตาไฟ
เหรียญทั้งสามไม่ได้ตกลงไปหน้าเตาไฟ แต่กลิ้งเข้าไปในถุงเท้าที่พวกเธอแขวนตากไว้ที่หน้าเตาไฟ  ทั้งสามต่างดีใจเมื่อพบเหรียญทอง ซึ่งทำให้เธอไม่ต้องไปเป็นโสเภณี นั่นคือที่มานั่นเองของการแขวนถุงเท้าหน้าเตาผิง....




Kanchanaburi Trip~ When the Nature's closer.

ถ้าไม่นับภาคเหนือแล้ว ด้านตะวันตกของไทยนั้น มีแนวเทือกเขาและป่าไม้ ที่หนาแน่นไม่แพ้กัน  เพียง 2-3 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ โดยเลือกเอาระหว่างสวนผึ้งไปดูแกะ หรือกาญจนบุรี ไปดูเขื่อน ดูทิวเขา สำหรับคนเมืองกรุงอย่างผมแล้ว แบบไหนก็ได้ (แต่อย่าไปพร้อมกัน ขับกันเมื่อยก้นแน่ๆ)

แม่น้ำแคว สัญญลักษณ์ที่โดดเด่นของเมืองกาญจน์ ฝรั่งไม่ว่าจะมาจากที่ไหน ก็แวะชมการแสดงแสงสีเสียง รวมถึงร่วมย้อนอดีตไปยังสมัยสงครามโลกครั้งสอง บางที เมืองนี้ อาจมีอะไรมากกว่าประวัติศาสตร์ อาจต้องแวะไปเยี่ยมชมอีกสักครั้ง ในฤดูหนาว


บริเวณน้ำตก ที่ใสจนอยากจะแช่ให้จนเท้าเปื่อย

ปลาน้อยใหญ่ที่คอยตอด คอยเล่นกับผู้มาเล่นน้ำ

เบื่อที่ถ่ายรูปในกรุงเทพฯ ก็ย้ายพรอพไปแถวกาญฯก็ไม่เลว
แดดร้อนไปหน่อย แต่ก็มีลมเอื่อยๆมาตลอด

เป็นอีกจังหวัดที่มีผีเสื้อมากกกกกก

คงต้องหาเวลาไปนั่งดูผีเสื้ออีกสักรอบ

ถ้ามีโอกาสได้ไป ลองไปนั่งรถไฟสายประวัติศาสตร์ดูนะครับ พอดีผมไปเช้าเย็นกลับ
อาหารพวกแกงเผ็ด อร่อยมาก หลายๆร้านเลย ลองเลือกกันดูนะครับ : )



เทศกาลฤดูหนาวของประเทศญี่ปุ่น - Hakodate Christmas Fantasy


จากที่เราเคยได้ยินว่า เจ้าเมืองท่าแห่งเกาะ Hokkaido ที่ชื่อ Hakodate นั้น ได้รับอิทธิพลต่างๆมากมายจากเมือง Halifax ประเทศ Canada ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของผังเมือง สถาปัตยกรรมของโบสถ์ ท่าเรือ ทำให้ความรู้สึกที่ไปเยือนเมืองนี้ ไม่ต่างอะไรจากเมืองในยุโรป ตอนที่ผมไปนั้น หิมะได้หยุดตกมาพักนึงแล้ว แต่ก็ยังคงให้เห็นถึงกองหิมะที่ถูกกวาดมารวมๆไว้ตามเสาไฟ ความโดดเด่นของเมืองนี้ ก็คือจุดชมวิวที่อยุ่บนยอดเขา Hakodate ที่มีความสวยงามไม่แพ้ที่ใดๆในโลก และจัดเป็นหนึ่งในสามของวิวบนยอดเขาที่สวยติดอันดับต้นๆของโลก รองจากเมืองเนเปิ้ลและฮ่องกง


ลักษณะเมืองนั้น เรียงตัวรอบภูเขา ท่าเรือเก่าแก่ถูกปรับเปลี่ยนเป็นห้าง มีรถรางวิ่งรับส่งรอบเมือง บรรยากาศไม่คึกคัก ดูสงบ เหมือนไม่มีอะไร แต่มีอะไรซ่อนอยู่มากมาย กาลเวลาของที่นี่ รู้สึกเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ให้เรา ผู้มาเยือน ได้มีเวลาคิด ตรึกตรอง หลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านมา

ความหนาวของที่นี่ หนาวกร้าวร้าว บาดลึก แสบซ่านยามลมหนาวจับต้องที่ใบหน้า ธันวาคมนี้ที่จะไป ไม่รู้ว่าหิมะตกหรือยัง แต่ที่แน่ๆ ความหนาวคงไม่ต่างจากช่วงกุมภามากนัก

 เส้นทางที่ทอดยาวจากเนินเขา ทำให้มองเห็นท่าเรือได้อย่างชัดเจน


ไว้พบกับ Hakodate อีกครั้ง กับงาน Christmas Fantasy ที่จะถึงนี้นะครับ ส่วนใครที่สนใจนั้น
งานจัดวันที่ 1 ถึง 25 ธันวาคมครับ แถวหาด Suehiro Town นะครับ 

โฮกๆๆๆ
(ไม่ใช่ Santa Claus นะครับ)


Chantaburi - จันทบุรี:เมื่อไม่เหงา ภูเขา ท้องฟ้า ทะเล จัดให้ได้



เคยเป็นบางไหมครับ อารมณ์อยู่ดีๆ ก็อยากไปทะเล ผมเองเป็นคนกรุงเทพฯ ทะเลที่ใกล้ที่สุด ก็คงไม่พ้น บางขุนเทียน แต่ที่นั่น ก็คงเป็นได้เพียงทะเลให้เรายืนมอง เพราะขวางกั้นด้วยดินเลน ดังนั้น ใกล้กว่านั้นก็คงไม่พ้นชลบุรี ซึ่งผมไปบ่อยมาก คราวนี้ เลยขับเลยไปอีก(ไม่หน่อย) จันทบุรี ...

ใครที่ไปไกลขนาดนั้น คงหาที่พักในเมือง เข้าท่องเที่ยวในตลาด ดูโบสถ์เก่าๆ แต่ผมเอง ไปนั่งมองทะเล รับลม ชมพระอาทิตย์ตก แล้วก็กลับ.... ครับ กว่าสามร้อยกิโลเมตร ขับไป ขับกลับ เหมือนคนว่างงาน ..ซึ่งจริงๆแล้ว งานไม่ว่าง แต่เป็นหัวสมองที่ว่าง ปล่อยวาง เลยทำให้ขับรถไปได้เรื่อยๆ 

ทะเลมันก็ทะเลเดียวกับบางแสนนะแหละครับ ท้องฟ้าเดียวกัน พระอาทิตย์ดวงเดียวกัน (น่าจะเค็มเหมือนกันด้วย) แต่แค่มองมันจากมุมที่แตกต่างกัน คงเหมือนกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา ถ้าเราเลือกที่จะมองมันจากด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว ยึดติดแต่สิ่งที่เห็นเพียงด้านเดียว แล้วก็อนุมานเองว่า มันต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้แน่ๆ ด้านในก็คงเหมือนกัน ก็คงน่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้มองเห็นอีกด้านนึง ซึ่งอาจจะสวยงามกว่า ก็เป็นได้...

ทะเล โขดหิน สีน้ำเขียวๆและท้องฟ้าสีฟ้าคราม
เสียงคลื่นซัดผ่านโขดหินบรรเลงเสียงกล่อมให้ผุ้มาเยือนได้เพลิดเพลิน

เพราะมุมนี้แหละ ทำให้ผมอยากไปเห็นทะเลจันทบุรี

เม็ดทราย ที่ชายหาด ดูสีทองเมื่อต้องแสงอาทิตย์ ละเอียดและไร้สิ่งเจือปน

 ถ่ายภาพให้ Under ลงเพื่อขับฟองคลื่นให้เห็นความละเอียดได้ชัด

ทะเลว่างๆ ไม่มีคนก็ว่าเหงา แต่เหลือคนเล่นแค่คนเดียว ยิ่งดูเหงากว่า...

พระอาทิตย์ตั้งท่าจะลาขอบฟ้าแล้ว เตรียมตัวได้เวลากลับบ้าน

ดอกหญ้าริมผา พริ้วไหว ราวกับมันโบกมือลาพระอาทิตย์

เมื่อดวงอาทิตย์เหลือเพียงจุดเสี้ยวเล็กๆ ไม่มีอะไรที่อยุ่ยั่งยืน ไม่ว่าสุข หรือทุกข์

แสงสุดท้าย ก่อน twilight จะมาเยือน

บอกลาด้วยสีแดงเพลิงแห่งท้องทะเล..

การถ่ายภาพธรรมชาติที่สวยงาม ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ แต่อยุ่ที่เวลา การเลือก moment of time ความอดทนในตัวเรา และโชคอีกเล็กน้อย : )

สายหมอกและลมหนาว ที่เขาค้อ

ปีนี้ ประเทศไทยเราเจออิทธิพลจาก El Nino ทำให้หลายๆจังหวัดในประเทศไทยเผชิญภาวะน้ำท่วมหนัก โดยเฉพาะภาคอีสานและกรุงเทพตอนบนแถวลพบุรี อยุธยา สิงห์บุรี ทำให้หลายๆคนคาดว่า หนาวนี้ ( 2010 ) ประเทศไทยเราอาจได้เจอความหนาวมากสุดในรอบ 30 ปี แต่อุตุฯ ไม่ได้บอกนะว่าจะหนาวนานเท่าไหร่ แต่ก็ขอให้เป็นหลักเดือน จากเดิมที่เป็นหลักวัน อิอิ

ไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก ประมาณสี่ชั่วโมง ตามถนนหมายเลข  1 ผ่านลพบุรี เข้าสู่ตัวเมืองเพชรบูรณ์ที่อำเภอศรีเทพ ผ่านวิเชียรบุรี (ต้นตำรับไก่ย่างวิเชียรบุรี..ไว้คราวหน้าจะมาแนะนำร้านอร่อยกว่าร้านตาแป๊ะชื่อดัง)

สถานที่ผมชอบไปพักกางเต้นท์ เรียกว่า องค์การโทรศัพท์ ในอำเภอเขาค้อ เพราะเป็นจุดที่เราจะมองเห็นทะเลหมอกได้ชัดเจนในยามเช้า แต่ข้อเสีย สำหรับนักถ่ายภาพ ผมว่า พระอาทิตย์มันขึ้นด้านหลังของทะเลหมอก ทำให้ไม่มีแสง สาดส่องเข้ามาทางทะเลหมอก เพื่อสร้างมิติของภาพเท่าไหร่นัก แต่เรื่องความเย็น บรรยากาศที่สงบ ภายใต้แสงแดด และความไม่พลุกพล่านของผุ้คนที่ไปพัก ผมว่า ที่นี่ไม่เลวนัก สำหรับนักกางเต้นท์

หมอกอ่อนๆยามเช้า ออกมาต้อนรับนักท่องเที่ยว

ท้องฟ้าหน้าจุดกางเต้นท์ที่จะเกิดทะเลหมอก มาต้อนรับนักท่องเที่ยว

พระอาทิตย์ส่งแสงสุดท้าย ก่อนปล่อยหน้าที่ให้ดวงดาวทำงานต่อ

นักท่องเที่ยวที่ไปเขาค้อแล้วมักจะแวะทานกาแฟที่ร้าน Coffee Hill ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจากเขาค้อ นอกจากกระแฟอร่อยแล้ว บรรยากาศยังค่อนข้างดี ร้านอยู่ริมผาที่ฝั่งตรงข้ามนั้น มองเห็นภูเขาลูกใหญ่ขวางกั้น ถ้าไปช่วงหน้าฝนแล้ว จะเห็นทะเลหมอก ค่อยๆไต่ภูเขา ข้ามมาให้นักท่องเที่ยวได้ชม ยังไง ถ้าใครว่างๆ ก็ลองวางแผนเที่ยวหน้าหนาวนี้ดูกันนะครับ

ภาพร้านกาแฟ หายไปไหนรู้ เนื่องจากคนเขียน blog ค่อนข้างโก๊ะช่วงนี้ ไว้หาเพิ่มได้จะเอามาลงให้นะครับ -_-"

หน้าหนาวของไทยเราเอง คงหนีไม่พ้นเจ้าต้น poinsettia ที่ใบจะกลายเป็นสีแดงในช่วงหน้าหนาวของบ้านเรา

แล้วพบกันใหม่ blog หน้า กับดวงดาวบนยอดดอยเต่า หุหุ


1010 Project กับเรื่องราวผ่านภาพถ่ายของช่างภาพ 10 คน 10 ภาพ ในวันที่ 10/10/10

ทุกชีวิต มีเรื่องราว ในแต่ละเวลา และสถานที่แตกต่างกัน
นั่นอาจเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ 1010project เกิดขึ้นเพื่อถ่ายทอดเรื่องราว
ผ่านภาพถ่ายของช่างภาพ 10 คน คนละ 10 ภาพในวันที่ 10 เดือน 10 ปี 2010
 ในสถานที่แตกต่างกัน เช่น New York , Tokyo, London หรือ Melbourne
กับ 1 วันที่แทนด้วย 100 ภาพ

เรื่องราวง่ายๆ ที่เกี่ยวของกับช่างภาพเหล่านั้น อารมณ์และมุมมองต่างๆ
ที่ถ่ายทอดออกมาให้เราได้เพลิดเพลิน และสานต่อความคิดให้กับผู้ชม
หลายๆคนที่จะทำ Port folio ภาพสำหรับตัวเอง

ข้างล่างนี้เป็นภาพบางส่วนจาก 1010 Project นะครับ ติดตามต่อได้ในลิงค์เลยครับ




ไว้ว่างๆ จะลองทำ 1111project บ้างครับ 11 รูป ในวันที่ 11/11/11 
มีเวลาเตรียมตัวอีกนานเลย ^^"

น้ำเหนือเข้าหนุนกรุงเทพเย็นนี้แล้ว อย่าลืมตรวจสอบพื้นที่เสี่ยงภัยกันด้วยนะครับ

จากสถานการณ์น้ำท่วมที่โคราช ไล่ลงมาประชิดถึงจังหวัดอยุธยา และเย็นวันนี้ ราวๆ 17.00 น้ำเหนือที่หนุนลงมาจากทางภาคเหนือ จะเข้าสู่กรุงเทพฯ และสร้างผลกระทบต่อชุมชนที่อยู่บริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา ใครบ้านอยู่แถวๆนั้น คงต้องรีบเตือนๆกันและหาทางสร้างแนวป้องกันน้ำท่วม รวมถึงการขนย้ายสิ่งของด้วยครับ
รูปประกอบอาจดูรุนแรง แต่มันก็ทำให้ตระหนักถึงภัยที่จะมาถึงได้ดี :D


สถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัดยังคงวิกฤติ โดย ทางกทม.เตรียมรับมือกับน้ำเหนือที่คาดว่าจะไหลทะลักเข้ากรุงเทพฯพรุ่งนี้ (20ต.ค.)
โดย นายสัญญา ชีนิมิตร ผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำกรุงเทพมหานคร(กทม.) กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา มีรายงานว่ามีการระบายน้ำเหนือจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา 1,096 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวินาที เขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ระบายน้ำที่ 2,217 ลบ.ม.ต่อวินาที รวมปริมาณน้ำที่จะเข้ากรุงเทพฯ 3,313 ลบ.ม.ต่อวินาที
ซึ่ง การระบายน้ำดังกล่าว จะทำให้น้ำไหลเข้ามาถึงกรุงเทพฯ บ่ายวันที่ 20 ตุลาคมนี้ ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถรับมือได้ เพราะยังเป็นปริมาณที่อยู่ในระดับที่ไม่น่าห่วง เนื่องจากในแม่น้ำเจ้าพระยาสามารถ รับได้สูงสุดที่ประมาณ 3,000  ลบ.ม.ต่อวินาที และยังไม่มีรายงานชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากระดับน้ำเพิ่มแต่อย่างใด
อย่าง ไรก็ตาม มีการเตรียมพร้อมให้13 สำนักงานเขต ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเตรียมกระสอบทราย 4 ล้านใบ รับมือไว้แล้ว อีกทั้งยังมีการแจ้งเตือนประชาชน โดยเฉพาะชุมชนที่อยู่นอกแนวคันกั้นน้ำเจ้าพระยา 27 ชุมชน กว่า 1,300 หลังคาเรือน เฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง พร้อมให้เจ้าหน้าที่นำกระสอบทรายวางเป็นแนวกั้นให้แล้ว และเตรียมกระสอบทรายสำรองไว้ 4 ล้านใบ รวมทั้งให้สถานีสูบน้ำ 157 แห่งและประตูระบายน้ำอีก 214 แห่ง เตรียมพร้อมรับมือน้ำที่จะเพิ่มขึ้น
ขณะ ที่จุดอ่อนน้ำท่วมในพื้นที่ชั้นในของกทม. เช่น รัชดาภิเษก ลาดพร้าว บางนา ศรีนครินทร์นั้น มีหน่วยปฏิบัติการน้ำท่วมเคลื่อนที่เร็วระบายน้ำในช่วงฝนตกหนักเตรียมพร้อม ไว้อยู่แล้ว

พื้นที่เสี่ยงภัยริมแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย และคลองมหหาสวัสดิ์รวม 11 เขต 27 ชุมชน 1,273 ครัวเรือน
1. เขตบางซื่อ ได้แก่ ชุมชนพระราม 6 (ฝั่งติดแม่น้ำ) และชุมชนปากคลองบางเขนใหญ่
2. เขตดุสิต ได้แก่ ชุมชนเขียวไข่กา ชุมชนราชผาทับทับทิมร่วมใจ (เชิงสะพานกรุงธน) ชุมชนซอยสีคาม (ซอยสามเสน 13) และชุมชนวัดเทวราชกุญชร (ถนนศรีอยุธยา)
3. เขตพระนคร ได้แก่ ชุมชนท่าวัง ชุมชนท่าช้าง และชุมชนท่าเตียน
4. เขตสัมพันธวงศ์ ได้แก่ ชุมชนวัดปทุมคงคา (ท่าน้ำสวัสดิ์) และชุมชนตลาดน้อย
5. เขตบางคอแหลม ได้แก่ ชุมชนวัดบางโคล่นอกชุมชนหน้าวัดอินทร์บรรจง ชุมชนซอยมาตานุสรณ์และชุมชนหลังโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
6. เขตยานนาวา ได้แก่ ชุมชนโรงสี (ถนนพระราม 3)
7. เขตคลองเตย ได้แก่ ชุมชนสวนไทรริมคลอง พระโขนง
8. เขตบางพลัด ได้แก่ ชุมชนวัดฉัตรแก้ว
9. เขตบางกอกน้อย ได้แก่ ชุมชนสันติชนสงเคราะห์ ชุมชนปากคลองน้ำตาล-คลองพิณพาทย์ ชุมชนครอกวังหลัง และชุมชนดุสิต-นิมิตรใหม่
10. เขตธนบุรี ได้แก่ ชุมชนปากคลองบางกอกใหญ่
11. เขตคลองสาน ได้แก่ ชุมชนเจริญนครซอย
ข้อมูลจาก mthainews


เพิ่มเติมข้อมูลสำหรับการตามติดข่าวสารเรื่องน้ำท่วม
-สถิติน้ำท่วมในประเทศไทย 
-ศูนย์ข้อมูลช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม
-ข้อมูลบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม







Otaru เมืองโรแมนติก ที่ไม่แพ้ยุโรป

นอกเหนือจาก Paris ในฝรั่งเศส กรุงปรากในสาธารณรัฐเชค Vienna ในออสเตรีย หรือ Venice ใน Italy แล้ว สถานที่ในเอเชียที่โรแมนติกไม่แพ้กัน หนึ่งในนั้นก็มีเมือง Otaru เมืองที่อยู่ไม่ไกลนักจาก Sapporo ด้วยการนั่งรถไฟประมาณ 20 นาที เมืองท่าทางทะเลที่เก่าแก่เมืองหนึ่งในเกาะ Hokkaido

ในช่วงเดือนแห่งความรักนั้น เมือง Otaru จะจัดงาน Otaru Candle Festival ซึ่งเป็นการปั้นหิมะเป็นรูปต่างๆ แล้วประดับด้วยเทียน เพื่อสร้างสีสันและแสงสว่างยามค่ำคืน สถานที่จัดงาน ก็บริเวณร้านค้าไล่ไปจนถึงคลอง Otaru


ระหว่างเดินเที่ยว หิมะเริ่มตกมาอีกแล้ว

เจ้าคลอง Otaru เดินวนรอบคลอง เหมือนเดินวนรอบคลองหลอด เพียงแต่ไม่มีของให้ดู และไม่ต้องพกไฟฉาย

ร้านต่างๆที่พากันประดับไฟ เพื่อให้เข้ากับเทศกาล


โคมไฟ แสงสีตลอดทางเดิน

ตะเกียงจากหิมะ

แม้แต่ตุ๊กตาหิมะ ก็ยังโรแมนติก

นอกจากเทศกาลดังกล่าวแล้ว Otaru ยังมีชื่อในเรื่องโรงเบียร์ และโรงงานช๊อคโกแลต รวมถึงร้านขายกล่องดนตรีที่น่ารักและน่าซื้อยิ่งนัก

ถ้ามีโอกาสกลับไปอีก คงใช้เวลามากกว่าเดิม เดินเล่นรอบเมืองอีกครั้ง ในวันที่หิมะร่วงหล่น...



ต้อนรับหน้าหนาว ด้วยเรื่องเล่าจากเทศกาลหิมะที่ Sapporo

จากที่เกริ่นไว้ตอนก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการจัดงานเทศกาลหิมะที่ Sapporo ต้นปีหน้านี้ ซึ่งเป็นครั้งที่ 62 แล้ว ถ้าใครสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมก็ตาม ลิงค์นี้ ไปได้เลยครับ

ผ่านมาสองปี สถานทีจัดยังไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงเป็นที่ Odori Park, Tsudome site และ Susukino ซึ่่งทั้งหมดอยู่ในเมือง Sapporo ดูได้จากแผนที่การเดินทางนี้ครับ



ทั้ง 3 สถานที่ที่จัดงานนั้น มีความแตกต่างกันค่อนข้างสิ้นเชิงคือ
ในส่วนของ Odori Park นั้น เน้นการแกะสลักหิมะเป็นรูปต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปการ์ตูน ตัวละครต่างๆ หรือ promote ประเทศญี่ปุ่นเอง รวมถึงการแข่งขันการแกะสลักหิมะ

Susukino นั้น เน้นในรูปแบบของการแกะสลักน้ำแข็ง เอาน้ำแข็งมาทำเป็นรูปแบบต่างๆ
Tsudome เองนั้น เป็นสถานที่จัดค่อนข้างใหญ่เอาการ ทำให้มีสนามกว้างพอให้เด็กๆ (รวมถึงผู้ใหญ่โข่งๆจากเมืองไทย) ไปนั่งปั้นตุ๊กตาหิมะได้ เนื่องจากอยู่นอกเมือง ไม่ค่อยมีตึกบัง จึงมักเจอกับพายุหิมะ ที่พัดเข้ามาเรื่อยๆ เหมือนกัน

รูปปั้นหน้าสถานีรถไฟ Sapporo ปกคลุมไปด้วยหิมะ
รูปปั้นตัวละครต่างๆในการ์ตูนญี่ปุ่น

เจ้าอังปังแมน

โดราเอมอน ขวัญตลอดกาลทั้งเด็กและผู้ใหญ่

บริเวณถนน susukino

บริเวณ Tsudome สถานที่เด็กๆได้ทำกิจกรรมเยอะมาก

กองทัพตุ๊กตาหิมะ

ทั้งหมดนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งจากทั้งหมดของงาน และภายในเกาะ Hokkaido เองก็มีเมืองอื่นๆที่จัดงานในลักษณะนี้เช่นกัน หนึ่งในนั้นคือ OTARU เมืองแห่งความโรแมนติก ไว้เจอกันใหม่ blog หน้านะครับ กับ OTARU



Akami nikiri sushi @ Miyatake

วันนี้ ขณะที่ชีวิตจะก้าวเข้าร้าน Zen ซึ่งเริ่ม Buffet เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา จังหว่ะเดียวกับที่ไป Check in ใน foursquare ถึงกับต้องเปลี่ยนใจ เพราะเลื่อนไปอ่าน comment ของเพื่อนๆข้างล่างๆ  เดินไปหาแค่ sushi อร่อยๆกินใน Isetan ก็พอ

ในชั้น Supermarket ของ Isetan เองนั้น มีร้าน Sushi  Bar เล็กๆแฝงตัวอยู่ ที่นั่งมีไม่มากนัก แต่ด้วยเนื้อปลาหลายชนิดมาก ที่เอามาโชว์หน้าร้าน ทำให้พยาธิในท้อง ร้องกันจ้าหล่ะหวั่น มีทั้ง Akami, Otoro, Tyu toro, Salmon และ Makuro

เนื่องจากปลาสองชนิดหลังนั้นผมทานบ่อยมากแล้ว ส่วนปลาสองชนิดตรงกลาง ที่มีลักษณะเหมือนเนื้อลูกวัวนั้น คำละ 250 และ 350 บาท (ตอนแรกผมนึกว่าผมอ่านผิด) การลองกิน Sushi ร้านชื่อดัง ที่เนื้อปลาในร้านนี้เกือบทั้งหมด ได้มาจากการประมูลปลาในแต่ละครั้ง และนำเข้ามาจากญี่ปุ่น

ผลเลยมาตกอยู่กับเจ้า Akami หรือปลาโอนั่นเอง ซึ่งผมก็เคยกินมาจากตาม Supermarket บ้าง
แต่ยอมรับเลยว่า เนื้อเหนียว ไม่อร่อยเหมือนปลาแซลมอน

แต่เจ้า Miyatake ทำให้การกิน sushi ของผมเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ ฮาๆ
ด้วยเนื้อที่ใหญ่ และเกือบปิดข้าวปั้นซะมิด ขอบอกคำเดียวว่า สุโค่ยมากๆเลย

ถ้ามีโอกาสไปญีปุ่น ค่อยไปขอลองเจ้า Otoro และ Tyu Toro อีกทีนะ


โฉมหน้าเจ้า Akami nikiri


ขนาดข้าวที่พอดีคำ (แต่ปลาไม่พอดี - -")

เนื้อปลาแต่ละชิ้น ถือว่าอร่อย อิ่ม คุ้มค่ามาก
ดูความหนาของเนื้อปลาที่ได้

ถ้าความสุข มันไม่ได้ตัดสินกันด้วยปริมาณแล้วเนี้ย ผมว่าการเปลี่ยนจากการกินบุฟเฟต์แล้วเปลี่ยนมา
กิน sushi ที่ปริมาณอาจไม่เยอะเท่า แต่ความอร่อยต่างกันมาก ผมขอเลือกอย่างหลังดีกว่า

ไว้มีโอกาสทานเจ้าอื่น จะมา review ให้ดูอีกทีนะครับ